Friday, May 30, 2008

การกำจัดไวรัส SSCVIHOST และ BLASTCLNNN


บทความโดย: ภานุมาศ ธรรมเวช

การกำจัดไวรัส SSCVIHOST และ BLASTCLNNN

ประมาณกลางเดือนตุลาคม ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในออฟฟิศของบริษัทแผนกวารสารได้ติดไวรัสชนิดหนึ่งกันอย่างงอมแงม หลังจากแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเรียบร้อยแล้ว มันก็จะไปโผล่อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ในวงแลนเดียวกัน ส่วนคอมพิวเตอร์เครื่องที่ไหวตัวทันทำการปิดโฟลเดอร์ที่เปิดแชร์แบบ Full ไว้ หรือไม่ก็ถอดสายแลนออก ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นไปจากไวรัสร้ายตัวนี้เนื่องจากเป็นไวรัสที่ติดกันได้ทางแฟลชไดรฟ์หรือยูเอสบีไดรฟ์ บนคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้เปิดให้โชว์นามสกุลของไฟล์ก็จะเผลอดับเบิ้ลคลิกลงบนไฟล์ไวรัสได้ง่ายมาก


เนื่องจากไวรัสจะสร้างไฟล์ exe ของตัวเองขึ้นมาใหม่ไว้ ด้วยการนำชื่อโฟลเดอร์ที่มันอาศัยอยู่มาเป็นชื่อไฟล์และใช้ไอคอนที่เป็นรูปโฟลเดอร์ของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ จึงเป็นไปตามที่กล่าวมาแล้วว่า การดับเบิ้ลคลิกลงบนไฟล์ไวรัสตัวนี้เป็นเรื่องที่เผลอได้ง่ายมาก และไวรัสร้ายตัวนี้ก็มีชื่อว่า SSCVIHOST หรือ BLASTCLNNN นั่นเอง



ไวรัสซึ่งเป็นเวิร์มชนิดหนึ่งตัวนี้ สร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้พอสมควร หากติดเข้าไปแบบเข้าเต็มรูปแบบก็จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงอย่างเห็นได้ชัด โดยตัวไวรัสจะสร้างโฟลเดอร์ออกมาซ้ำๆ กัน ในทุกโฟลเดอร์ เป็นชื่อโฟลเดอร์นั้นๆ แต่เป็นนามสกุล exe หากเผลอไปเปิดเข้า มันจะกระจายตัวอย่างรวดเร็วไปยังรากของเครื่อง และจะรันก่อกวนตลอดเวลา ทำให้เครื่องอืดจนสังเกตได้ แล้วหากมีอุปกรณ์ใดๆ เข้ามาต่อกับเครื่องหรือ Share File ระหว่างโฟลเดอร์นั้นๆ มันก็จะไปฝังยังอุปกรณ์หรือคอมพ์ตัวอื่นๆ แล้วก่อกวนต่อไปเป็นวงกว้าง ไวรัสตัวนี้มีรายงานว่ามีความร้ายแรงพอสมควร อาจจะทำให้ฮาร์ดดิสก์เจ๊งไปเลยก็ได้ ถ้าไม่รีบจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ


อาการต้องสงสัย

1. คำสั่ง Folder Options ในคำสั่ง Tools หายไป

ดังรูปที่ 1


2. คำสั่ง Task Manager หายไป
ดังรูปที่ 2


3. ไม่สามารถใช้งานคำสั่ง regedit เพื่อแก้ไขค่า registry ได้
4. Virus จะสร้าง New Folder.exe และ ชื่อโฟลเดอร์.exe ให้เองอัตโนมัติ

เนื่องจากโปรแกรม Scan Virus บางตัวอาจกำจัดไวรัสตัวนี้ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้กับทุกเครื่อง ดังนั้นเรามาดูวิธีกำจัดแบบแมนน่วล ฆ่าไวรัสตัวนี้ทิ้งกันเองด้วยมือ ซึ่งทดสอบแล้วให้ผลที่พึงพอใจได้เป็นอย่างดี


1. หากเข้า Task Manager ไม่ได้ก็หมายถึงว่ามันต้องมี สิ่งไม่พึงประสงค์รันอยู่เป็นแน่ เราต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติมที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ http://seminar.se-ed.com หรือ http://micro.se-ed.com โดยเป็นไฟล์ชื่อว่า TaskManager.zip

ดังรูปที่ 3



2. เมื่อแตกไฟล์ TaskManager.zip ออกมาแล้ว ก็ะพบกับไฟล์เครื่องมือเสริมสำหรับการกำจัดไวรัสนี้ 3 ตัวด้วยกันคือ procexp.exe, TaskManagerFix.exe และ UnHookExec.inf

ดังรูปที่ 4



3. ดับเบิ้ลคลิกเปิดไฟล์ procexp.exe ขึ้นมา เพื่อตรวจสอบ Process ที่แปลกปลอมภายในเครื่อง ถ้าเจอ SSCVIHOST.EXE, BLASTCLNNN.EXE หรือ ไฟล์ที่อยู่ในเครื่อง.EXE ทั้งหมดรันอยู่ ให้คลิกขวา Kill Process ทิ้งได้เลย

ดังรูปที่ 5



4. จากนั้นดับเบิ้ลคลิกไปที่ไฟล์ TaskManagerFix.exe เพื่อให้ Task Manager ของคอมพิวเตอร์ สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ

ดังรูปที่ 6


และรูปที่ 7



5. เสร็จแล้วให้คลิกขวาลงบนไฟล์ UnHookExec.inf เลือก Install เพื่อแก้ไขให้สามารถเข้าใช้งาน Regedit ได้

ดังรูปที่ 8



ขั้นตอนในการติดตั้งเครื่องมือช่วยเหลือ เพื่อกำจัด SSCVIHOST และ BLASTCLNNN ก็เป็นอันเสร็จสิ้นลง ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการเริ่มต้นกำจัดไวรัสตัวนี้กันแล้ว พร้อมแล้วมาลุยกันเลย


6. ขั้นตอนต่อไปนี้ จะต้องเข้าไปแก้ไขในรากของเครื่องกันสักหน่อย โดยต้องเข้าไปลบในส่วนที่ฝังอยู่ภายในส่วนควบคุมของเครื่อง หรือที่ Registry ของเครื่องนั่นเอง โดยให้คลิกไปทีปุ่ม Start แล้วเลือกที่เมนู Run… จากนั้นพิมพ์ regedit ลงไป
ดังรูปที่ 9



7. หน้าต่าง Register Editor จะแสดงขึ้นมา
ดังรูปที่ 10



8. คลิกเลือกที่จุดสูงสุดตรง My Computer แล้วเลือกไปที่เมนู Edit เลือก Find แล้วพิมพ์ sscvihost ลงไป แล้วคลิกไปที่ปุ่ม Find Next
ดังรูปที่ 11



9. ถ้าค้นเจอคีย์ที่มีชื่อไวรัสข้างต้น ก็ให้กดปุ่ม Delete เพื่อลบได้เลย จากนั้นให้กดปุ่ม F3 เพื่อค้นหาต่อไปและลบทิ้งไปจนจบทุกคีย์ของ Registry


รูปที่ 12 เมื่อเจอคีย์ที่ไวรัสสร้างขึ้นมาก็ให้ทำการลบทิ้งไปทั้งหมด


10. เสร็จแล้วให้เลื่อนไปเลือกที่คีย์ My Computer เหมือนเดิมแล้วค้นหา โดยพิมพ์ blastclnnn ลงไปแทน แล้วทำการลบทิ้งให้หมดเช่นเดียวกัน การกำจัดไวรัสในระดับรากของเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็เสร็จสิ้นลงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำให้ Folder Options ที่อยู่ในเมนู Tools กลับมาทำงานได้เหมือนเดิม

11. คลิกเข้าไปที่คีย์ HKEY_CURRENT_USER \Software \Microsoft \Windows \CurrentVersion \policies\ Explorer หากพบว่ามีการสร้างคีย์ NoFolderOptions ขึ้นมา และกำหนดค่าเป็น 1 ก็ให้ดับเบิ้ลคลิกบนคีย์ดังกล่าว แล้วแก้ไขค่าให้เป็นศูนย์ “0” แทน
ดังรูปที่ 13



12. ออกจากโปรแกรม Regedit แล้วเปิด Windows Explorer ขึ้นมา โดยดับเบิ้ลคลิกบนไอคอน My Computer ก็ได้ จากนั้นเลือกไปที่เมนู Tools เลือก Folder Options ดูว่าเปิดได้ไหม ถ้าเปิดได้.เปลี่ยนค่าตามรูปที่ 14 เพื่อแสดงไฟล์ที่ซ่อนไว้ทั้งหมด ถ้าเปิดไม่ได้ก็ให้ไปทำขั้นตอนต่อไปก่อนก็ได้


รูปที่ 14 แก้ไขค่า Folder options ดังรูป

ขั้นตอนการติดตั้งเครื่องมือ กำจัดไวรัสในระดับราก และแก้ไขให้วินโดวส์กลับมาทำงานได้เหมือนเดิมนั้น ก็เป็นอันเสร็จสิ้นลง ขั้นตอนต่อไปคือการค้นหาไฟล์ไวรัส ที่เล่นซ่อนแอบกับเราอยู่ในโฟลเดอร์ต่างๆ เพื่อที่จะได้กำจัดออกไปให้สิ้นซากกันเลย

13. ทำการค้นหาไฟล์ต้องสงสัย โดยให้คลิกไปที่ปุ่ม Start แล้วเลือกไปที่เมนู Search เมื่อหน้าต่าง Search แสดงขึ้นมา ก็ให้พิมพ์ SSCVIHOST ลงไปแล้วคลิกปุ่ม Search ดังรูปที่ 15 และ 16 เมื่อเจอไฟล์ไวรัสแล้ว ห้ามดับเบิ้ลคลิกหรือเปิดไฟล์โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นมันจะกลับไปติดอีกเหมือนเดิม และจะต้องวนกลับไปทำกระบวนการตามขั้นต้นอีกครั้ง


รูปที่ 15 ค้นหาไฟล์ไวรัสด้วย Search


รูปที่ 16 เจอไฟล์ไวรัสแล้ว แต่ห้ามเปิดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะติดมันเข้าอีกครั้ง



14. ตรวจสอบดูคุณสมบัติของไฟล์ไวรัส ด้วยการคลิกขวาลงบนไฟล์ sscvihost.exe Properties เพื่อตรวจสอบไฟล์ที่พบว่ามีลักษณะอย่างไร จากหน้าต่างคุณสมบัติของไฟล์ พบว่าขนาดของไฟล์ (size) ที่เจอจะมีขนาดเท่าๆ กันคือประมาณ 238-239 KB และไฟล์ทั้งหมดถูกโมดิไฟล์ (Modified) ในวันเดียวกันทั้งหมด คือวันที่ 14 กันยายน 2550 ดังรูปที่ 17 สรุปแล้วไฟล์ไวรัสเป็นแบบ .exe มีขนาดไม่เกิน 240KB และโมดิไฟล์ในวันที่ 14/9/2550



15. ให้ลบไฟล์ไวรัสทั้งหมดในหน้าต่าง Search ด้วยการกดปุ่ม Ctrl + A เพื่อเลือกไฟล์ที่เจอทั้งหมด แล้วกดที่ปุ่ม Delete เพื่อลบ จากนั้นก็เคลียร์ถึงขยะทิ้งให้หมด
16. ทำการค้นหาอีกครั้งด้วยคำว่า BLASTCLNNN แล้วทำการลบทิ้งทั้งหมดเช่นเดียวกัน
17. ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ยังไม่สามารถเลือกไปที่ Folder Options… จากเมนู Tools ได้ ก็ให้ทำการรีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ก่อนหนึ่งครั้ง

หลังจากที่เราได้ทราบถึงคุณสมบัติข้อต่างๆ ของไฟล์ไวรัสแล้ว คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนการกำจัดไฟล์อื่นๆ ที่ไวรัสตัวนี้สร้างขึ้นมา ซึ่งจะมีชื่อแตกต่างกันออกไปตามชื่อโฟลเดอร์ที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ ถ้าเผลอไปคลิกเปิดเมื่อไหร่ก็จะติดไวรัสนี้เข้าอีกครั้งอย่างแน่นอน


18. เปิดหน้าต่าง Search ขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นทำการค้นหาไฟล์อย่างละเอียดอีกครั้ง โดยใส่ค่าการค้นหาลงไปดังนี้ ช่อง All or part ot file name ใส่ค่า exe ช่อง Look in เลือกค่า Local hard drives คลิกเลือกที่ When was it modified เลือกไปที่ Specify dates แล้วใส่ค่า 14/9/2550 ลงไปในช่อง from และ to คลิกเลือกที่ What size is it แล้วใส่ค่า Specify size แล้วคลิกเลือกที่ At most ในช่องกำหนดค่าขนาดไฟล์ให้ใส่ค่า 240 ลงไป เพื่อให้ค้นหาไฟล์ที่มีขนาดไม่เกิน 240KB นั่นเอง ดังรูปที่ 18 แล้วคลิกที่ปุ่ม Search

19. เมื่อการค้นหาเสร็จสิ้นลง ก็ให้ดูไปที่ไฟล์ exe ที่มีขนาดประมาณ 238-240 KB โดยการคลิกไปที่แท็บ Size เพื่อให้จัดเรียงไฟล์ใหม่ตามขนาดของไฟล์ แล้วมองไปที่ช่วงไฟล์ขนาด 238-240 KB และมีไอคอนเป็นรูปโฟลเดอร์ของวินโดวส์ เมื่อเจอแล้วก็ให้เลือกทั้งหมด แล้วก็ลบทิ้งไปได้เลย (เคลียร์ถังขยะด้วย)

20. นำแฟลชไดรฟ์ที่ใช้งานอยู่ทั้งหมด มาค้นหาด้วยวิธีการเดียวกัน แล้วลบไฟล์ exe ที่ต้องสงสัยว่าเป็นไวรัสทิ้งให้หมด

สุดท้ายขอฝากคำแนะนำว่า การเปิดแฟลชไดรฟ์อย่าให้เปิดโดย Autorun ให้เปิดโดย Windows Explorer แทน หากพบไฟล์ exe แปลกๆ ก็ให้ลบทิ้งทันที และการแชร์โฟลเดอร์ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน ก็แนะนำให้แชร์แบบ Read Only อย่าแชร์ Full แล้วให้ผู้ที่ต้องการไฟล์เข้ามาคัดลอกไฟล์ไปเอง ถ้าเขาต้องการแชร์ไฟล์กลับให้เรา ก็ให้เขาแชร์ Read Only ที่เครื่องเขา แล้วเราเข้าไปดึงไฟล์มาแทน เขาไม่ต้องส่งไฟล์เข้ามาที่เครื่องเรา


ขอเสริมอีกนิดหนึ่ง จากการที่ได้ใช้งานโปรแกรมแอนติ้ไวรัส NOD32 ปรากฎว่าไม่มีการเตือนการตรวจพบไวรัสชนิดนี้แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องที่ติดเข้ากับไวรัสตัวนี้แล้ว หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ยังไม่ติดกับไวรัสตัวนี้ แต่ได้มีการนำแฟลชไดรฟ์ที่มีไวรัสตัวนี้แฝงตัวอยู่ มาเสียบเข้าที่พอร์ต USB และสั่งให้เปิดแฟ้มต่างๆ ที่อยู่บนตัวไดรฟ์ ดังนั้นทางกองบรรณาธิการนิตยสารไมโครคอมพิวเตอร์ ได้ทดลองเปลี่ยนไปใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส BitDefender Internet Securtiy ปรากฏว่าคอมพิวเตอร์สามารถฟ้องว่ามีการติดไวรัสตัวนี้ และในคอมพิวเตอร์เครื่องที่ยังไม่ติดไวรัส แต่ได้นำแฟลชไดรฟ์ที่มีไวรัสมาเสียบและเปิดไฟล์ต่างๆ โปรแกรม BitDefender ก็สามารถตรวจจับได้ว่ามีไวรัสแฝงอยู่ และแสดงหน้าต่างข้อความเตือนว่ามีไวรัสที่อันตรายอยู่ในไฟล์ต่างๆ ในแฟลชไดรฟ์ ข้อความเตือนนั้นบอกว่ามีไฟล์ไวรัส Win32.Worm.Sohanat.Y ติดอยู่ ทำให้สามารถหยุดยั้งการใช้งานไฟล์ต่างๆ ลงได้ ซึ่งเป็นการหยุดการแพร่กระจายไวรัสและป้องกันด้วยการลบไฟล์ต่างๆ ที่ติดไวรัสทิ้งไปเสียก่อนที่มันจะทำงานได้ อย่างไรก็ตามโปรแกรมทั้งสองยังไม่สามารถดำเนินการกำจัดไวรัสตัวนี้ออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยอัตโนมัติ จะต้องใช้เครื่องมือเสริมและการลบไฟล์ไวรัสทิ้งด้วยตัวเอง ตามวิธีการที่อธิบายมาข้างต้น แต่การเตือนว่ามีไวรัสจาก BitDefender ย่อมให้ประโยชน์ในการป้องกันการแพร่กระจายไวรัสได้ดีกว่าโปรแกรม NOD32 ที่ไม่มีการเตือนใดๆ ขึ้นมาเลย

--- END ---

Tuesday, May 27, 2008

Ad-Aware 2008 Free/Professional 7.1.0.8


ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.antivirus.in.th มีบทความทางด้านไอทีน่าอ่านเยอะครับ และสามารถติดตามข่าวสารไวรัสอัพเดทหลายบทความ จึงขออนุญาตินำบทความนี้มาอัพเดทให้เพื่อนๆ ชาว Blog ได้ติดตาม.

Ad-Aware 2008 Free/Professional 7.1.0.8

เปิดตัวแล้วครับ..!!! สำหรับเครื่องมือป้องกันสปายแวร์ฟรี ของค่าย Lavasoft Ad-Aware 2008 ครับ โปรแกรมสามารถป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณจากภัยคุกคามของสปายแวร์มัลแวร์และโปรแกรมไม่พึงประสงค์ ที่จะเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ขณะเล่นอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องสร้างความปลอดภัยจากการใช้งานเหล่านี้


มาดูหน้าตาของตัวโปรแกรม Ad-Aware 2008 กันครับ ตามภาพเลย.



เว็บไซต์ผู้ผลิต Lavasoft
ดาวน์โหลด Ad-Aware 2008 Free Edition 7.1.0.8
ดาวน์โหลด Ad-Aware 2008 Professional 7.1.0.8

ขอขอบคุณ : www.antivirus.in.th


อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Click.

Monday, May 26, 2008

Beginning ASP.NET Databases Using VB.NET

Beginning.ASP.NET.Databases.Using.VB.NET



Download:

Beginning.ASP.NET.Databases.Using.VB.NET-BBL

สวัสดีครับ นำหนังสือน่าอ่านสำหรับนักพัฒนา ASP.NET อีกครั้ง ไปหยิบหนังสือเล่มนี้มา อาจจะดูว่าเก่าไปกับเทคโนโลยี .NET ปัจจุบัน แต่ก็ถือได้ว่า ลักษณะการอธิบายรายละเอียดเขียนได้อ่านง่าย ส่วนภาษา Script (VB Code) ครับ คงเหมาะกับเพื่อนๆ ที่ถนัดโค๊ดด้าน VB ยังไงก็ลองศึกษาเพิ่มเติมได้จากภายในหนังสือนะครับ อ่านเยอะๆ ดี....



What you will learn from this book:

For a web site to offers its users an experience that improves on that of newspapers or textbooks, it needs a way to change the information it contains dynamically—and that means it needs access to a data source. Through the combination of ASP.NET and ADO.NET, Microsoft provides everything necessary to access, read from, and write to a database, and then allow web users to view and manipulate that data from a web browser. In this book, we’ll show you how it’s done.


Packed with clear explanations and hands-on examples, Beginning ASP.NET Databases using VB.NET contains everything you’ll ever need on your journey to becoming a confident, successful programmer
of data-driven web sites. In particular, we’ll look at:


  • Connecting to common data sources, including SQL Server and MS Access

  • Reading data with data reader and dataset objects

  • Creating and deleting records, and editing data

  • Displaying data with ASP.NET’s web server controls

  • Writing and using stored procedures from VB.NET code

  • Placing your data access code in reusable class libraries


  • This book closes with a real-world case study that consolidates the tutorials throughout the book into a practical result.

    Wednesday, May 21, 2008

    คู่มือการติดตั้ง Linux Redhat 9

    ขอสนับสนุน Open Source อีกคนครับ ได้ไปโหลดคู่มือการ Config Install Redhat 9 จาก Web Bitthailand มีเนื้อหาที่น่าสนใจครับ ภาษาไทย อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังเริ่มต้น และจะมุ่งพัฒนาระบบ Open Source



    Download คู่มือ Click.
    คู่มือ redhad 9
    Linux Redhat 9

    Download แผ่นโปรแกรม Redhat 9 : CD1, CD2, CD3

    Credit : bitthailand

    Tuesday, May 20, 2008

    ASP.NET EBOOK

    Share EBook

    สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มศึกษา ASP.NET และฐานข้อมูล SQL นะครับ ลองโหลดไปอ่านดู มี Sample Code ทั้ง VB และ C# เขียนได้ละเอียดดี แต่เสียอย่างเดียวเปง Eng. แต่ถ้ามีความสนใจเป็นที่ตั้งแล้ว อ่านไป เปิด Dictionary ไป ได้ความรู้เพิ่มด้านภาษาครับ คิดในทางที่ดี

    Click and download E-Book

    1. ProgrammingVBDotNet
    2. Wrox Beginning Database Design
    3. Wrox Professional ASP.NET 2.0
    4. SQL Server 2005
    5. Crystal Report For VS2005





    Wrox Beginning ASP.NET 2.0 AJAX Jul 2007 eBook-BBL





    - Written by a high-power team of Microsoft MVPs, this book provides a comprehensive introduction to the ASP.NET AJAX features

    - After a quick overview of the architecture and features of ASP.NET 2.0 AJAX, coverage then goes on to show developers how to build richer,more responsive dynamic Web sites and Web applications

    - Dives into such topics as ASP.NET 2.0 AJAX user interface design issues, JavaScript enhancements with AJAX, how to use the UpdatePanel for implementing server-side controls, and XML scripting in AJAX

    - Also offers an outline of the ASP.NET 2.0 AJAXControl Toolkit, and discusses implementing drag and drop functions, databinding, debugging and security, ASP.NET services, and bridging and gadgets

    - The companion Web site provides readers with a rich set of code examples



    Friday, May 9, 2008

    การต่อสายแลนแบบครอส (Cross)

    การต่อสายแลนแบบครอส (Cross)

    เอาไว้เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้เป็นระบบเครือข่ายได้โดยที่ไม่ต้องใช้ HUB แต่ได้แค่ 2 เครื่องเท่านั้นเอง

    เป็นการสลับระหว่างสาย 1,2,3,6 ซึ่งมักจะใช้ในกรณีของการเชื่อมต่อระหว่าง HUB-to-HUB โดยที่ไม่ผ่านทาง Uplink Port คือ ต่อจาก Port ธรรมดาไป Port ธรรมดา ต้องใช้สาย Cross และสามารถนำมาดัดแปลง ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่องที่ต้องการต่อเป็น เครือข่ายโดยผ่านทางสาย UTP ได้โดยการใส่ LAN Card ลงที่เครื่องทั้งสองแล้วใช้สาย Cross ในการเชื่อมต่อเครื่อง ทั้งสองให้เป็นระบบเครือข่ายโดยไม่ต้องใช้ HUB ก็ได้

    ตัวอย่างดังรูป.






    ส่วนวิธีการเข้าสายก็ย้อนกลับไปดูหัวข้อที่ผ่านมา :: การเข้าสายแลน

    การต่อสาย LAN Netowork RJ45

    จัดเตรียมเรื่องของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ให้ครบถ้วนก่อน โดยอุปกรณ์โดยทั่วไปก็มี สายสัญญาณหรือ UTP Cable หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าสาย LAN แล้วก็หัว RJ-45 (Male), Modular Plug boots หรือตัวครอบสาย หากว่ามี Wry Marker แล้วก็จะมีเหมือนกันเพราะว่าจะช่วยในการทำให้เราจำสายสัญาณได้ว่าปลายด้านไหนเป็นด้านไหน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วก็จะเป็นหมายเลข ไว้ใส่ในส่วนปลายทั้งสองด้านเพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบระบบสายสัญญาณ คีมแค้มสายสัญญาณ หรือ Crimping Tool, มีดปอกสาย หรือ Cutter

    ขั้นตอน
    1. ใช้มีดปอกสายสัญญาณที่เป็นฉนวนหุ้มด้านนอกออกให้เหลือแต่ สายบิดเกลียวที่อยู่ด้านใน 8 เส้นแล้วก็จะเห็นด้ายสีขาว ๆ อยู่ให้ตัดทิ้งได้ โดยการปอกสายสัญญาณนั้นให้ปอกออกไว้ยาว ๆ หน่อยก็ได้ประมาณสัก 1 เซ็นครึ่งก็น่าจะได้นะตามตัวอย่างดังรูป


    2. ใส่ Modular Plug boots เข้ากับสาย UTP ด้านที่กำลังจะต่อกับหัว RJ-45 ไว้ก่อนเลยดังรูป


    3. ปอกสายเสร็จแล้วก็ให้ทำการแยกสายทั้ง 4 คู่ที่บิดกันอยู่ออกเป็นคู่ ๆ ก่อนโดยที่ให้แยกคู่ต่าง ๆ ตามลำดับต่อไปนี้

    A. ส้ม-ขาวส้ม ---> เขียว-ขาวเขียว ---> น้ำเงิน-ขาวน้ำเงิน ---> น้ำตาล-ขาวน้ำตาล



    จากนั้นจึงค่อยมาทำการแยกแต่ละคู่ออกมาเป็นเส้น โดยให้ไล่สีดังนี้
    B. ขาวส้ม ---> ส้ม ---> ขาวเขียว ---> น้ำเงิน ---> ขาวน้ำเงิน ---> เขียว ---> ขาวน้ำตาล ---> น้ำตาล



    4. หลังจากนั้นให้ใช้คีมตัดสายสัญญาณที่เรียงกันอยู่นี้ให้มีระบบปลายสายที่เท่ากันทุกเส้น โดยให้เหลือปลายสายยาวออกมาพอสมควร จากนั้นก็ให้เสียบเข้าไปในหัว RJ-45 ที่เตรียมมา โดยให้หันหัว RJ-45 ดังรูปจากนั้นค่อย ๆ ยัดสายที่ตัดแล้วเข้าไป โดยพยายามยัดปลายของสาย UTP เข้าไปให้สุดจนชนปลายของช่องว่าในหัว RJ-45


    5. จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเชื่อมต่อสายสัญญาณในช่วงนี้ก็คือต้องยัดฉนวนหุ้มที่หุ้มสาย UTP นี้เข้าไปในหัว RJ-45 ด้วย โดยพยายามยัดเข้าไปให้ได้ลึกที่สุดแล้วกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการหักงอของสายง่าย โดยให้ยัดเข้าไปให้ได้ดังรูป


    6. นำเข้าไปใส่ในช่องที่เป็นช่องแค้มหัวของ RJ-45 ในคีมที่จะใช้แค้มหัว หรือ Crimping Tool ให้ลงล็อกของคีมพอดี จากนั้นก็ให้ทำการกดย้ำสายให้แน่น เพื่อให้ Pin ทีอยู่ในหัว RJ-45 นั้นสัมผัสกับสายทองแดงที่ใส่เข้าไป




    7. Finally !!!

    Backup copy of your Outlook Express mail account

    Making a Backup copy of your Outlook Express mail account:

    1. เปิดโปรแกรม Outlook Express , เลือกไปยังเมนู Tools >> Accounts [Click]



    2. พอหน้าต่างบัญชีอีเมล์โชว์ขึ้นมาเลือก Mail Tab. > Select Account mail domain >> Exports



    3. ภายหลังกด Export จะแสดงหน้าต่างให้ทำการบันทึก ดังนั้นจำเป็นต้อง ระบุชื่อในการบันทึก ในตัวอย่ง คือ "Mail Account Backup" และทำการบันทึกไปยัง Desktop



    4. กรณีถ้ามีอีเมล์หลายบัญชี ก็ทำเช่นกันทีละบัญชี แต่ขั้นตอนเหมือนกัน
    5. เสร็จแล้ว ก็ทำการปิดโปรแกรม

    Backup copy of your Outlook Express address book

    สำรอง Address book ของ Outlook Express
    Making a Backup copy of your Outlook Express address book

    1. เปิดโปรแกรม Outlook Express ขึ้นมา เลือก Menu File >> Export [select and click] เลือก Address Book


    2. จากนั้นเลือก Text File (Comma Separated Values) แล้วคลิก Export


    3. ภายหลังคลิก Export แล้วจะแสดงหน้าต่างต่อไป ให้ Browse (เพื่อระบุที่บันทึกไฟล์)


    4. ทำการบันทึกไฟล์ ระบุชื่อ "Address Book Backup" หรือชื่อที่ต้องการ และอย่าลืมเลือกสถานที่บันทึกไฟล์ ในที่นี้ คือ Desktop


    5. พอเสร็จสิ้นกระบวนการ ก็กด Finish > Finally OK

    Backup copy of your Outlook Express e-mail

    สำรองข้อมูล Outlook Express .DBX Files

    Making a Backup copy of your Outlook Express e-mail message files

    Step By Step เริ่มลงมือกันเลย
    1. เปิดโปรแกรม Outlook Express ขึ้นมา เลือกเมนู >> Option [Click]



    2. หน้าต่างตัวเลือกแสดงขึ้นมา ต่อไปเลือก Maintenance tab. >> Store Folder [Click]



    3. ทำการ Copy ลิงค์ที่แสดงในช่อง Store Location
    Exam. : C:\Documents and Settings\Administrator\Local Settings\Application Data\Identities\{D5A26594-906C-4FD6-9ABF-0D02F0C4FBCD}\Microsoft\Outlook Express



    4. ภายหลัง Copy เสร็จ ก็ปิดหน้าต่างตัวเลือก Option และปิดโปรแกรม Outlook Express
    5. ไปยังหน้า Desktop > Start > RUN





    6. ภายในช่อง RUN ให้ทำการ Press[CTRL + V] ลิงค์ที่ได้ copy มาลงไป >> กด OK จะแสดงหน้าต่าง ดังนี้


    7. ทำการ Copy ไฟล์ทั้งหมดใน Folder ที่แสดง หรือถ้าง่ายๆ ก้อ Select All >> Copy




    8. ภายหลัง Copy ก้อทำการปิดหน้าต่างนั้น และ เปิด My Computer ไปยัง D:\ [หรือ Backup Drive] \ สร้าง New Folder ใหม่ [ ตั้งชื่อ .. "Mail Backup"] หรือชื่อที่คิดว่าเหมาะสม

    9. เข้าไปใน Folder ที่สร้างใหม่ในที่นี้ คือ "D:\Mail Backup" แล้วทำการ Press [CTRL + V] ข้อมูลที่ได้ Copy มาลงเก็บไว้
    เพียงเท่านี้ก็ถือว่าได้ทำการสำรองข้อมูล Outlook Express เรียบร้อย

    Restore an Outlook Express Backup

    Restore an Outlook Express Backup

    1. เปิดโปรแกรม Outlook Express บนคอมพิวเตอร์ ที่ต้องการ restore ข้อมูลที่สำรอง
    2. จากนั้นไปที่เมนู File menu >> Identities >> Add New identity
    3. ทำการติดตั้ง New Accout หรือจะ ข้ามผ่านขั้นตอนนี้ทำได้ โดยกด Cancel
    4. ปิดโปรแกรม Outlook Express
    5. ไปยังหน้า Desktop >> Start menu > RUN




    6. ในช่อง RUN ให้พิมพ์ regedit แล้วจากนั้นกด OK



    7. พอหน้าต่าง Registry Windows แสดงขึ้นมา ให้ไปที่ HKEY CURRENT USER\Identities\ และ Copy identities number ที่ต้องการ restore ข้อมูลที่สำรองไปใช้งาน



    8. ปิดหน้าต่าง Regedit.

    9. จากนั้นพอได้เลขที่ Identity Number ที่ต้องการ restore backup แล้ว ก็ไปยังไฟล์ "Mail Rules[date].reg" or "Blocked Senders[date].reg" ทำการเปิดไฟล์ทั้งสองด้วย Notepad





    10. จากนั้นทำการ Replace (Identity Number) ที่ copy มาทับไปแทนเลขเดิม เป็นการเปลี่ยน Path iden. นั้นเอง
    11. ทำการ SAVE แล้วปิด Notepad
    12. ภายหลังจากแก้ไข Identity Number แล้ว ก็จึงทำการ Merge registry restore เรียกใช้ไฟล์ restore เข้าสู่ระบบ โดยคลิกขวาที่ไฟล์ "Mail Rules[date].reg" or "Blocked Senders[date].reg" แล้วเลือก merge.
    13. จากนั้นทำการเปิด Outlook Express ตรวจเช็คความถูกต้อง (สิ่งที่สำคัญคือ เลข Indentity number)